รางจืด
ภาพโดย :
คนโบราณ (a_Rsw
)
สถานที่ : ทุ่งปลักเหม็ด
(ซอยทวดพรหม สนามบินหาดใหญ่)
ชื่อวิทยาศาสตร์
Thunbergia laurifolia Linn.
ชื่อวงศ์
THUNBERGIACEAE
ชื่อภาษาอังกฤษ
Laurel clock vine,
Blue trumpet vine
ชื่ออื่น
ขอบชะนาง , เครือเขาเขียว, ยาเขียว ,
จางจืดดง (อีสาน)
รางจืด
เป็นไม้เถาเนื้อแข็งมีใบเดี่ยวรูปขอบขนานหรือรูปไข่ กว้าง 4-7
ซม. ยาว
8-14
ซม.ขอบใบเว้าเล็กน้อย
ดอกช่อออกที่ปลายกิ่ง
กลีบดอกสีม่วงแกมน้ำเงิน ใบประดับ
สีเขียว ประสีน้ำตาลแดง
ผลแห้ง แตกได้
ส่วนที่ใช้ประโยชน์
ใบสด - ใช้คั้นน้ำ แก้ไข้ ถอนพิษต่างๆ
ในร่างกาย เช่น
อาการแพ้อาหาร การทดลอง
เพื่อใช้แก้พิษ ที่เกิดจากยาฆ่าแมลงโพลิดอลในสัตว์ได้ผลดีพอควร
สรุปได้ว่า
อาจใช้
น้ำคั้นใบสดให้ผู้ป่วยที่กินยาฆ่าแมลง ดื่มเป็นการปฐมพยาบาล
ก่อนนำส่งโรงพยาบาล
ได้
แต่จะไม่ให้ผลในการกินเพื่อป้องกัน
ราม
ภาพโดย :
คนโบราณ (a_Rsw
)
สถานที่ : ทุ่งปลักเหม็ด
(ซอยทวดพรหม สนามบินหาดใหญ่)
ชื่อวิทยาศาสตร์
Ardisia
elliptica Thunb.
ชื่อวงศ์
MYRSINACEAE
ชื่อภาษาอังกฤษ
Shoebutton ardisia
ชื่ออื่น พิลังกาสา( ทั่วไป)
ราม
(ระโนด, สะทิงพระ,
สิงหนคร
- สงขลา)
ทุลังกาสา (ชุมพร), ลังพิสา
(ตราด), ปือนา (มลายู
- นราธิวาส),
ราม
เป็นไม้พุ่มสูงประมาณ2-5 เมตร มีกิ่งก้านสาขาออกรอบๆ
ต้น
ใบ
ใบเดี่ยวรูปหอก
ปลายใบแหลมเรียงสลับรอบกิ่ง
ผิวใบและขอบใบ เรียบหนาเป็นมันสีเขียว
ก้านใบสั้น
ใบกว้างประมาณ
3-5
ซม. ยาวประมาณ
7-15 ซม.
ยอดอ่อนมีสีแดง
ดอก ออกดอก
ได้ทั้งปี
แต่จะมีมากในช่วงหน้าร้อน ลักษณะของดอก เป็นช่อกระจุกก้านช่อยาว ดอก
เล็กสีขาวแกมชมพู เป็นช่อ ออกตามยอดและข้างกิ่ง เมื่อบานเต็มที่กลีบดอกจะมี 5
แฉกคล้ายดาว
ผล
กลม มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.5
ซม.
ออกเป็นกระจุก มีก้าน
ช่อยาว
ห้อยย้อยลงมาเรียงสลับรอบก้านช่อ
เมื่อสุกจะมีสีแดงเข้มเกือบดำ
ลักษณะทางนิเวศน์วิทยา
ราม
หรือ พิลังกาสาเป็นพันธุ์ไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
พบกระจาย
พันธุ์ทั่วไปตั้งแต่หมู่เกาะริวกิวของญี่ปุ่น
กระจายทั่วในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปจน
ถึงอินเดียภาคใต้
ขึ้นได้ทั่วไปตามป่าโปร่ง
ดินทรายหรือดินเหนียวที่ระบายน้ำได้ดี
ส่วนที่ใช้ประโยชน์
ผลอ่อน ยอดอ่อน ใช้เป็นผักสด
จิ้มน้ำพริก, ผลสุก รสหวานปนฝาด
กินได้
สรรพคุณทางยา
ลำต้น
ใช้รักษาโรคเรื้อน รากใช้รักษากามโรคและหนองใน
ผล ใช้เป็นแก้ไข้แก้
ท้องเสีย
(ข้อมูลสรรพคุณทางยา จาก
เวบสมุนไพร)
หมายเหตุ : ในเขตสงขลาจะพบ
ต้นราม
หรือ
พิลังกาสา ที่ขึ้นอยู่ตามธรรมชาติใน
แถบอำเภอชายทะเล
เช่น อำเภอระโนด, สะทิงพระ, สิงหนคร,จะนะ, และอำเภอเมือง
ส่วนในเขตอำเภอคลองหอยโข่งและอำเภอหาดใหญ่ที่ติดป่าเขาจะหาพันธุ์ไม้นี้ได้ยาก
คงพบแต่พืชในกลุ่มเดียวกันคือ ต้นตาเป็ดตาไก่ (Ardisia
lenticellata Fletch.)
และ
ต้นลังกาสา
(Ardisia
helferiana Kurz.)
เร็ดหนู
ภาพโดย :
คนโบราณ (a_Rsw
)
สถานที่ : ทุ่งปลักเหม็ด
(ซอยทวดพรหม สนามบินหาดใหญ่)
ชื่อวิทยาศาสตร์
Stachyphrynium repens (Körn.) Suksathan &
Borchs.
Stachyphrynium
jagorianum(K. Koch.) K. Schum.
(synonym)
ชื่อวงศ์
MARANTACEAE
ชื่ออื่น แหร็ด นู้
(สงขลา), กาเล็ดกาเว๊า,
กาเร็ดกาเหว่า(สุราษฎร์ธานี)
เร็ดหนู
(แหร็ด นู้) เป็นพืชในกลุ่มสกุลคล้ามีขนาดเล็กสูงประมาณ
60 ซม.
มีเหง้า
ทอดเลื้อยอยู่ใต้ดิน
ใบ
ใบเดี่ยว
เรียงเวียนสลับ ใบรูปขอบขนาน ค่อนข้างเรียวแคบ
กว้าง 3-4
ซม. ยาว 14-18
ซม.
ปลายใบเรียวแหลม
โคนใบสอบ ขอบเรียบหรือเป็น
คลื่นเล็กน้อย ผิวใบด้านบนสีเขียวเป็นมัน เส้นกลางใบสีเขียวอ่อน
เส้นใบย่อยเป็นรอย
นูนและมีแต้มเรียวแหลมสีเขียวเข้มตามรอยนูนเรียงสลับกันทั้งสองด้านของแผ่นใบ ผิว
ใบด้านล่างสีเขียวอ่อน ก้านใบกลมเล็ก
ยาว 10-20
ซม.
ดอก
สีขาว ออกเป็นช่อแบบ
ช่อเชิงลดที่ปลายกิ่ง ช่อตั้งตรง มีกาบรองดอกย่อยเรียงซ้อนกันเป็นแถวในแนวระนาบ
เดียวกัน ดอกย่อย 1-5 คู่
กลีบเลี้ยงมีขนาดเท่าๆกัน ไม่เชื่อมติดกัน ชั้นของกลีบดอก
เป็นท่อสั้นสีขาว โดยเชื่อมกับชั้นของกลีบเลี้ยงซึ่งมีขนาดใหญ่กว่ากลีบดอก ผล ผล
เเห้งแตกเมล็ดผิวเกลี้ยง มี 2-3 เมล็ด ภายในเเบ่งเป็นสองซีก
เร็ดหนู
(แหร็ด นู้)เป็นพันธุ์ไม้ ที่พบเห็นได้ทั่วไปในป่าดิบชื้นของภาคตะวันออกเฉียง
ใต้,ภาคใต้และตลอดแหลมมลายู โดยจะเจริญงอกงามได้ดี
ภายใต้ร่มเงาต้นไม้อื่น
ส่วนที่ใช้ประโยชน์
เหง้าของ
เร็ดหนู
(แหร็ด นู้)
ใช้เป็นสมุนไพรใน ตำรับยาอายุวัฒนะ ของคนไทย
ถิ่นใต้ ทั้งต้น
ปลูกลงกระถางหรือปลูกลงเเปลงในที่ร่ม
เป็นไม้ประดับตกแต่งสวน
(
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- การใช้ เร็ดหนู เป็นสมุนไพรอายุวัฒนะ
-
นจ.
)
หมายเหตุของคนโบราณ
พืชสกุลคล้า
ที่คนไทยถิ่นใต้(สงขลา)เรียกว่า เร็ด หรือ แหร็ด
นี้ ในภาคใต้มี 2
ชนิด
คือ
เร็ดหนู
หรือ กาเร็ดกาเหว่า
ที่กล่าวมาข้างต้น อีกชนิดก็คือ
เร็ดใหญ่
(แหร็ด
ใหญ่)
ซึ่งใบมีขนาดใหญ่ คนไทยถิ่นใต้สมัยก่อน ใช้ใบเร็ดชนิดนี้เป็นวัสดุห่อของกิน
ของใช้ที่ซื้อขายกันในตลาดนัด
เช่นเดียวกับใบตอง เช่น ใช้ห่อกะปิ,ห่อเนื้อหมู
แล้วผูก
ด้วยเชือกกล้วยแต่ปัจจุบัน
หลังจากที่มีการผลิตถุงพลาสติก(ถุงก๊อบแก๊บ) คนไทยถิ่น
ใต้ได้เลิกใช้ใบเร็ด (ใบแหร็ด) ส่งผลให้เด็กใต้รุ่นหลังจำนวนมาก ไม่รู้จักวัสดุธรรมชาติ
ที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ชนิดนี้
|